วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2551

> KIWI <



Une fleur femelle de Kiwi

Histoire

Le kiwi est le fruit d'une liane originaire du sud-est de la Chine, dans la vallée du Yangzi Jiang. Il a été décrit pour la première fois vers 1750, par Chéron d'Incarville, un jésuite français. Le "Yang Tao", littéralement « Pêche du Yang », poussait à l'état sauvage dans la forêt longeant le fleuve mais n'était pas cultivé, il était simplement cueilli par les Chinois qui l'appréciaient.

À la fin du XIXe siècle, des plants furent importés en Europe, sans qu'on s'intéresse encore à leurs fruits, puis aux États-Unis en 1904. Le kiwi est apparu en Nouvelle-Zélande en 1906, grâce à Alexander Allison qui planta chez lui des graines apportées par Isabel Fraser. Les plants portèrent leurs premiers fruits en 1910. Il a d'abord été cultivé dans les jardins domestiques mais la plantation commerciale a commencé dans les années 1940 en Nouvelle-Zélande. Par sélection les néo-zélandais ont obtenu des variétés produisant des fruits de gros calibre (plus de 100g) alors que les fruits sauvages ne pèsent que 20g. La variété commercialisée se nomme Hayward. Hayward est un fruit assez clair, brun vert aplati aux extrémités il a encore été amélioré dans les années 1980 depuis son obtention dans les années 1960. Il existe d'autres variétés moins commerciales (plus petits calibres, moindre tonnage/ha, moindre conservation et moindre résistance au transport) mais de grande qualité gustative : Monty (petit et gris), Bruno (allongé et brun foncé), Abbott (marron clair et en forme de poire). Cette plante est dioïque comme les palmiers par exemple. Il y a des plants mâles dont les fleurs ne produisent que du pollen et les plants femelles dont les fleurs produisent les fruits. Depuis 10 ans on trouve des plants hermaphrodites ce qui permet de ne cultiver que des pieds "productifs". La Nouvelle-Zélande est maintenant un des principaux producteurs de kiwis, avec la France, les États-Unis, l'Italie, l'Espagne et le Japon.

Dans les années 1960, un architecte français en poste en Chine a rapporté quelques fruits qui lui avaient été offerts. Il les présenta au responsable du Jardin des Plantes à Paris. Peu de temps après, il sera le premier fournisseur français de plants (près de Saint-Antoine-de-Breuilh en Dordogne).
Naturellement, des kiwis sont encore produits dans leur région d'origine, la Chine, mais celle-ci n'a jamais fait partie de la liste des dix principaux pays producteurs de kiwis. Ils sont maintenant cultivés principalement dans le secteur montagneux en amont du Chang Jiang. On en trouve également dans d'autres régions de la Chine comme le Sichuan, ainsi qu'à Taiwan.

Le kiwi a d'abord été connu sous le nom de « groseille de Chine », sa chair rappelant celle de la groseille à maquereau. Lors de la guerre froide, ce nom devint un problème pour sa commercialisation aux États-Unis. Sa culture se développant en Nouvelle-Zélande, à partir de 1953, les Néo-zélandais l'appelèrent donc « kiwi », sa peau velue rappelant celle de l'oiseau du même nom, emblème du pays. « Kiwi » a été adopté comme marque déposée à partir de 1974.



วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

โลมา เพื่อนรัก


Le grand dauphin également appelé souffleur ou dauphin à gros nez (Tursiops truncatus) est un cétacé à dents (odontocète) appartenant à la famille des Delphinidae. C'est l'espèce la mieux connue de sa famille, notamment parce qu'il a été longuement étudié en captivité et, à l'état naturel, le long des côtes qu'il aime fréquenter (en Floride notamment). C'est aussi l'une des rare espèce de dauphins à pouvoir survivre aux conditions de vie controversées des delphinarium. C'est celui que le grand public associe généralement aux dauphins (grâce surtout à la série télévisée Flipper le dauphin). On le reconnait à son « sourire » assez caractéristique, dû aux plis de son bec (un rostre).
Il est présent dans toutes les mers du monde, à l'exception des zones
arctiques et antarctiques. Il existe deux populations distinctes : une côtière et une au large. Les grands dauphins chassent en utilisant la technique de l'écholocation. Ils se nourrissent principalement de poissons qu'ils saisissent grâce à une centaine de petites dents pointues non différenciées. Les dauphins communiquent grâce à une variété de sons émis par l'intermédiaire du melon, un sac nasal situé sur le front. Ils atteignent la maturité sexuelle vers l'âge de 12 ans. Les femelles donnent naissance à un seul petit. Les grands dauphins vivent généralement en groupe formé des femelles et des enfants, alors que les mâles forment des associations appelées alliances. C'est un animal qui montre une certaine curiosité lors de ses rencontres avec des humains.


ป้ายกำกับ:

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

น่ากินป่าว!!!!

Reino de España
เรย์โน เดสปันยา
เรอิโน เด เอสปาญา
ราชอาณาจักรสเปน

คำขวัญ : Plus Ultra (ละติน: "มากกว่าอย่างยิ่ง")


อาหาร

อาหารสเปนประกอบด้วยอาหารหลายประเภท ซึ่งเป็นผลมาจากความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม และภูมิอากาศ เช่น อาหารทะเลก็หาได้จากพื้นน้ำที่ล้อมรอบประเทศอยู่นั้น และเนื่องจากประเทศสเปนมีประวัติความเป็นมายาวนานรวมทั้งวัฒนธรรมที่แตกต่างกันซึ่งทยอยเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนนี้ อาหารสเปนจึงมีความหลากหลายอย่างยิ่ง แต่เครื่องปรุงและส่วนผสมต่าง ๆ เหล่านั้นก็ได้ประกอบกันขึ้นเป็นอาหารประจำชาติที่มีความเป็นเอกลักษณ์ พร้อมทั้งตำรับการประกอบอาหารและรสชาตินับพัน อิทธิพลส่วนมากในอาหารสเปนมาจากวัฒนธรรมยิวและมัวร์ ชาวมัวร์เป็นชาวมุสลิมจากแอฟริกาซึ่งเคยมีอำนาจปกครองสเปนอยู่หลายศตวรรษ และอาหารของชาวมัวร์ก็ยังคงมีรับประทานกันอยู่จนทุกวันนี้ ตัวอย่างอาหารสเปนที่มีชื่อเสียง เช่น

อาร์โรซเนโกร (Arroz Negro) ข้าวผัดอาหารทะเล ปรุงด้วยหมึกดำจากปลาหมึก
โกซีโด (Cocido) สตูว์เนื้อและถั่วหลากชนิด
โชรีโซ (Chorizo) ไส้กรอกรสจัด
ชูเลตียัส (Chuletillas) เนื้อแกะ (ที่เลี้ยงด้วยนม) ย่าง
กัซปาโช (Gazpacho) ซุปเย็น ประกอบด้วยขนมปังและมะเขือเทศเป็นหลัก
ฟาบาดาอัสตูเรียนา (Fabada Asturiana) สตูว์ถั่ว
คามองเซร์ราโน (Jamón serrano) แฮมหมักบ่มเป็นปี
ปาเอยา (Paella) ข้าวผัดเนื้อหรืออาหารทะเลใส่หญ้าฝรั่นและน้ำมันมะกอก มีหลายประเภท
เปสไกย์โตฟรีโต (Pescaito Frito) เนื้อปลาหมักและนวดแล้วนำไปทอด เป็นอาหารจากเมืองมาลากาและภาคตะวันตกของแคว้นอันดาลูเซีย
ตอร์ตียาเดปาตาตัส (Tortilla de patatas) หรือ ตอร์ตียาเอสปาโญลา (tortilla
española) ไข่เจียวใส่มันฝรั่งและหัวหอม
ตูร์รอง (Turrón) ขนมหวานมีอัลมอนด์และน้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบ รับประทานเฉพาะในวันคริสต์มาส
กาลามารี (Calamari) ปลาหมึกทอด
ฟีเดวา (Fideuà) บะหมี่จากเมืองบาเลนเซีย
รีโอคา (Rioja) ไวน์จากแคว้นลารีโอคา
ซังกรีอา (Sangría) ไวน์พันช์





ตอร์ตียาเดปาตาตัส (Tortilla de patatas)






ซุปเย็นกัซปาโช(Gazpacho)

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551

ลองอ่านดิ........!

อาจมีที่เหนื่อยล้า แต่ขอให้ก้าวต่อ วันใดที่รู้สึกท้อ ฉันจะยืนยิ้มรออยู่ข้างๆ จุดหมายอาจไกล หวังเสมอให้เธอไปจนสุดทาง

อุปสรรคทุกๆอย่างอย่าให้อยากเกินฝ่าฟัน อาจมีที่อ่อนแอแต่เธอต้องไม่แพ้นะ คนทุกคนเกิดมาก็ต้องมีบ้างละที่จะผิดฝัน

ซึ่งถ้าพลาดพลั้งก็จงเรียนรู้เป็นประสบการณ์ อย่าทำร้ายตัวเองเพราะมันไม่มีประโยชน์ และหากวันหนึ่งเกิดบาดแผลเพราะความรัก

รู้สึกว่าตนเองไม่ฉลาดนักแบกรับทุกอย่างไม่ไหว ขอให้เธอนิ่งพอในวันนั้นแล้วคืนวันที่แย่จะผ่านไปโลกมืดหม่นต่อไปไม่ได้ตราบที่ทุก

สิ่งอยู่ใต้เงาตะวัน แค่คนเดียวที่ไม่รักเราอย่าเอามาเป็นเหตุผลให้เราไม่รักตัวเองแล้วหัวใจที่เคยโดนข่มเหงจะแข็งแรงไม่ไหวหวั่น

ทั้งหมดนี้คือความหวังดีเพราะผูกพัน เชื่อเถอะนะเธอคือองค์ประกอบสำคัญ "ในโลกที่ฉันยืนอยู่"

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2551

ปัจจุบันและอนาคตของดวงอาทิตย์





ตามการศึกษาแบบจำลองคอมพิวเตอร์ว่าด้วยวัฏจักรดาวฤกษ์ นักดาราศาสตร์สันนิษฐานว่าดวงอาทิตย์มีอายุประมาณ 4,570 ล้านปี ในขณะนี้ดวงอาทิตย์กำลังอยู่ในลำดับหลัก ทำการหลอมไฮโดรเจนให้เป็นฮีเลียม โดยทุกๆ วินาที มวลสารของดวงอาทิตย์มากกว่า 4 ล้านตันถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน ดวงอาทิตย์ใช้เวลาโดยประมาณ 1 หมื่นล้านปีในการดำรงอยู่ในลำดับหลัก


เมื่อไฮโดรเจนซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของดวงอาทิตย์หมดลง วาระสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก็มาถึง (คือการพ้นไปจากลำดับหลัก) โดยดวงอาทิตย์จะเริ่มพบกับจุดจบคือการแปรเปลี่ยนไปเป็นดาวยักษ์แดงภายใน 4-5 พันล้านปี ผิวนอกของดวงอาทิตย์ขยายตัวออกไป ส่วนแกนนั้นยุบตัวลงและร้อนขึ้นสลับกับเย็นลง มีการหลอมฮีเลียมเป็นคาร์บอนและออกซิเจนที่อุณหภูมิราว 100 ล้านเคลวิน จากสถานการณ์ข้างต้นดูเหมือนว่าดวงอาทิตย์จะกลืนกินโลกให้หลอมลงไปเป็นเนื้อเดียวกัน แต่จากรายงานวิจัยฉบับหนึ่งได้ศึกษาพบว่าวงโคจรของโลกจะตีตัวออกห่างดวงอาทิตย์เพราะมวลของดวงอาทิตย์ได้สูญเสียไป จนแรงดึงดูระหว่างมวลมีค่าลดลง แต่ถึงกระนั้น น้ำทะเลก็ถูกความร้อนจากดวงอาทิตย์เผาผลาญจนระเหยสิ้นไปในอวกาศ และบรรยากาศโลกก็อันตรธานไปจนไม่เอื้อแก่ชีวิต

หลังจากที่ดวงอาทิตย์ได้ผ่านสภาพการเป็นดาวยักษ์แดงแล้ว อุณหภูมิจากปฏิกิริยาการหลอมฮีเลียมที่เพิ่มสลับกับลงภายในแกน ก็จะเป็นตัวการให้ผิวดวงอาทิตย์ด้านนอกผละตัวออกจากแกน เกิดเป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ แล้วอันตรธานไปในความมืดมิดของอวกาศ และเป็นวัสดุสำหรับสร้างดาวฤกษ์และระบบสุริยะรุ่นถัดไป ส่วนแกนที่เหลืออยู่ก็จะกลายเป็นดาวแคระขาวที่ร้อนจัดและมีแสงจางมาก ก่อนจะดับลงกลายเป็นดาวแคระดำ จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือชีวิตของดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อยถึงปานกลาง

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

7 วิธีทำให้สมองฉลาดขึ้น

1.ให้สมองทำงาน ตอบสิว่าอะไรคือสิ่งแรกที่คุณจะทำเพื่อพัฒนาสนองอุปกรณืที่ลับสมองได้ดีที่สุดก็คือ...รองเท้าผ้าใบค่ะ งงล่ะสิ เมื่อใดที่คุณสวมรองเท้าผ้าใบคุณสามารถกระตุ้นอาการเต้นของหัวใจได้คำแนะนำที่ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกายค่ะมันสามารถช่วยให้ลดการสูญเสียเนื้อเยื่อในสมองได้ค่ะ
2.ให้อาหารสมอง การกินอาหารที่มีโมเลกุลที่สามารถต้านอนุมูลอิสระได้จะช่วยให้สารอนุมูลอิสระเป็นกลางและไม่ก่ออันตราย ผักผลไม้ที่มีสีสันมันจะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับ ถั่วต่างๆ เมล็ดพืช ธัญพืชและเครื่องเทศ “อาหารใดกินแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกายมันก็คืออาหารชั้นยอดของสมองเช่นกัน”
3.เร่งความเร็ว โดยธรรมชาติสมองจะเริ่มทำงานช้าลงเมื่ออายุเริ่มขึ้นเลข3 แต่คนเราไม่ว่าจะอายุเท่าใดก็สามารถฝึกสมองให้ทำงานเร็วขึ้นได้ สมองของคุณคือกลไกแห่งการเรียนรู้ เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่ที่เราได้รับมักผ่านทางคำพูดโปรแกรมการฝึกสมองนี้จึงเกี่ยวข้องกับภาษาและการฟังเพื่อให้เกิดการแม่นยำและเร็วขึ้นคุณอาจจะฝึกแยกเสียงก็ได้เหมือนกันค่ะ
4.สงบนิ่ง การลับสมองเป็นเรื่องสำคัญแต่...การสงบนิ่งก็สำคัญไม่แพ้กันความเครียดในระดับสูงมีผลร้ายต่อเซลล์สมอง ความเครียดจะรบกวนกระบวนการรับรู้และการจำดังนั้นคุณก็ควรจะละความเครียดทั้งหมดมานั่งฝึกสมาธิสงบนิ่งกันเหอะ
5.พักสมอง พลังสมองที่ได้จากความสงบนิ่งคือความคิดสร้างสรรค์จากการนอนการที่เรานอนหลับไปกับปัญหามันได้ผลจริงๆค่ะ
6.หัวเราะบ้าง อารมณ์ขันกระตุ้นส่วนต่างๆของสมองซึ่งสามารถใช้โดปามีนเป็นสารนำส่งความรู้สึกดีให้เกิดขึ้น
7.ยิ่งแก่ยิ่งเก่ง คุณเคยได้ยินสุภาษิตที่ว่า อาบน้ำร้อนมาก่อนไม๊เมื่อวัยของคุณเพิ่มขึ้นคุณได้บบรทึกภาพและข้อมูลทางสังคมไว้นับล้านๆภาพซึ่งคุณสามารถเรียกใช้ได้ทุกเวลาเลยทีเดียวเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆก็มีเพียงเท่านี้ค่ะยังไงก็ลองไปปฏิบัติตามกันนะค่ะเผื่อได้ผล ถ้าใครทำแล้วได้ผลก็มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะค่ะ

ไข่...อาหารของแชมเปี้ยน

ถ้าอยากได้ร่างกายที่แข็งแรง สมบรูณ์ สมองดี ความจำเยี่ยม...ไข่จัดให้! ทุกส่วนของไข่ไม่ว่าเป็นไข่แดงหรือไข่ขาวล้วนแต่พกสารอาหารมาบำรุงร่างกายเราเพียบทั้งนั้น

ไข่แดง : คือสุดยอดของแหล่งอาหาร เพราะเป็นที่รวมของวิตามินเอ วิตมินดี วิตามินซี วิตามินเค

วิตามินบีรวม : เรียกว่าครบทุกวิตามินที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ และยังมีแร่ธาตุกำมะถัน โปแตสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุเหล็ก ด้วยความที่เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง นักโภชนาการก็เลยมักจะเอาไข่นี่ล่ะเป็นมาตราในการตรวจสอบโปรตีนของอาหารอื่นๆ

ไข่ขาว : ในไข่ขาวมีกรดอะมิโนที่สำคัญต่ร่างกายอยู่ครบทุกชนิด ในวันหนึ่งร่างกายของเราต้องโคเลสเตอรอลจากอาหารไม่เกิน 300 มิลลิกรัม แต่บังเอิญว่าไข่มีโคเลสเตอรอลอยู่ระหว่าง 146-232 มิลลิกรัม ซึ่งจัดว่าค่อนข้างสูง นักโภชนาการจึงจำกัดปริมาณการกินไข่ไว้ว่า ทารกอายุ 5 เดือนขึ้นไปจนถึงวัยรุ่นและวัยทำงานสามารถรับประทานไข่ได้ทุกวัน วันละ 1 ฟอง ส่วนผู้สูงอายุหรือคนที่มีไขมันในเส้นเลือดสูงนั้น รับประทานไข่ได้อาทิตย์ละ 3 ฟอง